ลิเวอร์พูล & มาดริด : ความต่างตั้งแต่ DNA เมื่อสมบัติราชา vs กับฮีโร่สามัญชน

ลิเวอร์พูล & มาดริด : ความต่างตั้งแต่ DNA เมื่อสมบัติราชา vs กับฮีโร่สามัญชน
ชยันธร ใจมูล

ความต่างยัน DNA ของ ลิเวอร์พูล & มาดริด : เมื่อสมบัติราชาต้องปะทะกับฮีโร่ของสามัญชน

สกอร์ 5-2 ที่ เรอัล มาดริด บุกชนะ ลิเวอร์พูล ถึง แอนฟิลด์ กลายเป็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในวันนี้ และในเกมก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ก่อนจะเขี่ยบอล

ไม่ว่าจะเป็นการที่แฟนบอลลิเวอร์พูลพร้อมใจโห่เมื่อเสียงเพลงรายการ แชมเปี้ยนส์ลีกดังขึ้น ไหนจะเรื่องประเด็นการเจอกันก่อน ๆ หน้านี้ ซึ่งจะว่ากันตามตรงพวกเขาทั้งคู่ล้วนมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงทางประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าต่างกันยัน DNA เลยทีเดียว

นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังที่เข้มข้นไม่แพ้การแข่งขันของ 2 สโมสรผู้ยิ่งใหญ่ ติดตามที่ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

เจาะลึกหาความต่าง

ทั้ง เรอัล มาดริด และ ลิเวอร์พูล คือ 2 สโมสรที่ยิ่งใหญ่ มีประวัติศาสตร์ และประสบความสำเร็จมามากมาย เต็มด้วยนักเตะที่ยอดเยี่ยม และโค้ชที่ปราดเปรื่องเหมือนกัน ทว่า… มีบางอย่างที่เป็นความต่างระหว่างทั้งคู่ และเรื่องนี้มันเป็นความต่างระดับ DNA ตั้งแต่วันที่ทั้งคู่ก่อตั้งสโมสรเลย หรือแม้แต่เมืองที่พวกเขาอยู่เลยทีเดียว

ลิเวอร์พูล เป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนของตัวเองมากกว่าเมืองอื่นๆในประเทศอังกฤษ พวกเขามีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์แม้ใครจะมองว่าแปลกแค่พวกเขาถือว่าเป็นความภาคภูมิใจ นอกจากนี้พวกเขายังมีแนวคิดที่ขัดแย้งกับความเป็นอนุรักษ์นิยมอย่างสุดขั้ว สิ่งนี้ยืนยันได้จากพวกเขามักจะมีข้อโต้แย้ง และแสดงตัวเป็นฝั่งตรงข้ามต่อรัฐบาลอังกฤษเป็นประจำ ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้


เหตุการณ์ตัวอย่าง ได้แก่งานแต่งงานของเจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน มาร์เคิล ที่ ชาวลิเวอร์พูล ร่วมกันต่อต้านและไม่ได้ร่วมแสดงความยินดีแตกต่างกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ  นอกจากนี้พวกเขายังเคยโห่ใส่เพลงชาติอังกฤษ ในเกม เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศที่พวกเขาเจอกับ เชลซี เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาอีกด้วย

สื่ออย่าง “The Nationworld” ให้เหตุผลว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะชาวเมือง ลิเวอร์พูล มองว่า รัฐบาลอังกฤษลอยแพพวกเขามาโดยตลอด ตั้งแต่ยุค 80s ที่ มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ผู้นำที่เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม และไม่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมในเมอร์ซี่ย์ไซด์ จนทำให้เกิดภาวะเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ ชาวเมืองยากจน และตกงาน หนำซ้ำยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ฮิลส์โบโร ที่มีแฟนบอลเสียชีวิตถึง 96 คน แต่ในตอนแรก มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินว่านี่คือความผิดของแฟนลิเวอร์พูล (แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วก็ตาม)  ... ความเชื่อนี้หนักข้อไปถึงการมีข่าวลือว่ารัฐบาลอังกฤษต้องการที่จะตัด ลิวเวอร์พูล ออกจากอังกฤษ เพราะเป็นเมืองที่มีผู้อพยพเข้ามาหลากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะชาวไอริช  เรื่องบานปลายไปถึงขั้นนั้นเลยทีเดียว

แฟนบอล ลิเวอร์พูล แสดงออกถึงสิ่งนี้อย่างเปิดเผย แบนเนอร์ในสนามที่ขึงไว้โดยเหล่า “เดอะ ค็อป” เขียนไว้ว่า "สาธารณรัฐประชาชนลิเวอร์พูล"(the people's republic of liverpool) บ้างล่ะ "พวกเราไม่ใช่คนอังกฤษแต่คือสเกาเซอร์ส"(we're not english we are scouse)  บ้างล่ะ

Photo : Independent

ทุกวันนี้ป้ายข้อความดังกล่าวก็ยังปรากฎในสนามแอนฟิลด์อยู่บ่อย ๆ  …  ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าโกรธที่โดนมองข้ามและมองว่าเป็นตัวปัญหาของสังคม กลายเป็นแรงผลักดันที่นำความหยิ่งทรนงและเปลี่ยนเป็นความแข็งเเกร่งของพวกเขา

แม้ว่าที่สุดเเล้วตอนนี้ ลิเวอร์พูล จะมีกุนซือเป็นชาวเยอรมัน มีนักเตะอันดับ 1 ของทีมเป็นชาวอียิปต์ แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับมีบางสิ่งที่เป็นตรงกับดีเอ็นเอ ลิเวอร์พัดเลี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสไตล์การเล่นที่เร้าใจชวนให้คนดูมีอารมณ์ร่วมด้วยการบุกที่ดุดัน และที่สำคัญคือพวกเขาไม่เคยกลัวเลยในการเจอกับทีมคู่แข่งที่เก่งกว่า หรือใหญ่กว่า เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาเจอกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษเเล้ว

ต้องยอมรับว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นคนที่เพอร์เฟ็คต์สำหรับการเข้ามารับตำแหน่งนี้ เขาทำให้แอนฟิลด์กลับมามีชีวิตชีวา หลังห่างหายไปกว่า 2 ทศวรรษ

กุนซือชาวเยอรมันใส่พลังให้กับนักเตะในทีมให้ไม่กลัวใครราวกับอัศวินถือดาบเล่มเดียวกระโจนเข้าใส่วงล้อมของศัตรูที่อยู่บนหลังม้า เขาไม่กลัวที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิด นั่นคือสิ่งที่เขาสร้าง ลิเวอร์พูล ให้กลายเป็นทีมที่น่าเกรงขามในทุกวันนี้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
DNA ดี ๆ มีอยู่จริง : 7 สโมสร ที่ใช้ “โค้ชคนใน” แล้วได้ผลลัพธ์คือความสำเร็จ | Think Curve - คิดไซด์โค้ง
Think Curve - คิดไซด์โค้ง เป็นเรื่องที่น่าปวดใจสุด ๆ เมื่อต้องทนดูทีมรักทีมเก่าของตัวเองตกต่ำลงเรื่อย ๆ และเมื่อพวกเขาเริ่มมีประสบการณ์และความสามารถกับงานนอกสนามมากขึ้น แล้วใครล่ะจะอดใจไหว?

ราชา มาดริด

ภาพลักษณ์ของมาดริดนั้นตรงกันข้ามกับลิเวอร์พูลเลย พวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนจากฝั่งราชอาณาจักร พวกเขาเป็นทีมจากเมืองหลวงของประเทศ คู่แข่งของพวกเขาคือ แอตเลติโก เป็นตัวแทนของพลเมืองชั้นรอง รวมถึง บาร์เซโลน่า ที่เป็นเมืองของชนชั้นกลาง

เรอัล ในภาษา สเปน แปลว่า "โดยพระราชา,ของพระราชา,พระราชูปถัมภ์" นั่นแปลว่าสโมสรแห่งนี้ชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ต้น

และความยิ่งใหญ่นั้นก็ทำให้ เรอัล มาดริด  ถูกทั้งสองทีม (แอตฯ มาดริด และ บาร์เซโลน่า) มองปฏิปักษ์เช่นกัน เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขามักจะได้สิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นๆในเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต ครั้งหนึ่งกุนซือของ บาร์เซโลน่า อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล เปรียบเปรยไว้ว่า "นายพลฟรังโก้คือเจ้านายใหญ่ของแผ่นดินสเปน และเขาคือมาดริด ศูนย์กลางทางการเมืองและรัฐบาลก็ยังคงเป็นมาดริด ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่นายพลฟรังโก้คือส่วนหนึ่งของการเป็นแชมป์ยุโรป"

Photo : BBC

แต่ความจริงก็คือตอนนี้ เรอัล มาดริด ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่เเล้ว พวกเขาคว้าแชมป์มากมายจนล้นตู้โชว์ ซึ่งมันเเสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของความเอนเอียงหรือ 2 มาตรฐานแต่อย่างใด

พวกเขาเติบโตด้วยสรรพกำลังของหลาย ๆ ฝ่าย และสิ่งเหล่านี้ก็หลอมรวมให้พวกเขามีความภาคภูมิใจตัวตนของสโมสรแห่งนี้

ย้อนกลับไป 5 ปีก่อนที่ เรอัล มาดริด เข้ารอบชิงชนะเลิศในปี 2017-18 นักเตะของพวกเขาในเวลานั้นอย่าง มาร์เซโล เคยถูกนักข่าวถามว่าพวกเขากลัวไหมที่จะต้องตกรอบที่ต้องเจอกับทีม ยูเวนตุส จาก อิตาลี ในรอบตัดเชือก ก่อนที่เขาจะตอบว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นกับ บาร์เซโลน่า มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับพวกเราหรอก" มาร์เซโล ให้สัมภาษณ์หลังคู่ปรับของพวกเขาแพ้ให้กับ โรม่า และตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ลีก ขณะที่ มาดริด เอาชนะ ยูเวนตุส และ มาร์เซโล่ ขยายความเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่เขามั่นใจอย่างนั้นก็เพราะว่า … "เหตุผลก็เพราะว่าเราคือ เรอัล มาดริด ยังไงล่ะ"

แม้แต่โค้ชก็แตกต่าง

คาร์โล อันเชล็อตติ และ เยอร์เก้น คล็อปป์ เก่งกาจแค่ไหนทุกคนต่างก็รู้ดี ในฐานะเฮ้ดโค้ชไม่มีแชมป์ไหนที่พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยสัมผัส (หากถ้วยนั้นยิ่งใหญ่พอ)

อย่างไรก็ตามหากวัดกันที่ปูมหลังก่อนจะมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ต่างก็เป็นตัวแทนที่ดีของแต่ละสโมสร หากวัดจากสิ่งที่เรากล่าวมาในข้างต้น

Photo : GOAL

อันเชล็อตติ กวาดแชมป์ถล่มทลายมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเตะ เขาถือเป็นตำนานของทั้ง 2 สโมสรที่ลงเล่นให้ไม่ว่าจะกับ โรม่า ( เซเรีย อา 1 สมัย, โคปา อิตาเลีย 4 สมัย) และ เอซี มิลาน (เซเรีย อา 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก(ในชื่อเดิม ยูโรเปี้ยน คัพ) 2 สมัย เรียกง่าย ๆ ว่าโด่งดังและประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนกระทั่งแขวนสตั๊ด

เรื่องยังไม่ได้จบแค่นั้น ในวันที่ อันเชล็อตติ เริ่มเป็นโค้ชเขาใช้เวลาแค่ 1 ปีกับทีมระดับกลางค่อนล่างอย่าง เรจเจียน่า แต่หลังจากนั้น อันเชล็อตติ ก็รับงานกับทีมที่มีเกียรติประวัติ และมีการสนับสนุนเรื่องเงินที่ดีมาตลดไม่ว่าเป็น ปาร์ม่า(ดังมากในยุค 90s), ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, เชลซี, เปแอสเช, บาเยิร์น มิวนิค และแน่นอนคือ เรอัล มาดริด

ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ๆ อันเชล็อตติ ก็เป็นเหมือนคนที่ทุกคนรักใคร่ ได้รับการสนับสนุนจากรอบด้าน เขาอยู่กับสิ่งนั้นและพัฒนาตัวเองจนกระทั่งกลายเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป

ขณะที่  คล็อปป์ นั้นแตกต่าง สมัยเป็นนักเตะเขาเป็นแค่กองหลังโนเนมในลีกรองของเยอรมันอย่าง ไมนซ์  ไม่เคยติดทีมชาติ ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ลูกหนังว่าเขาเป็นใครมาจากไหนในวันที่เขายังค้าแข้งอยู่ และเมื่อมีโอกาสได้คุมทีม คล็อปป์ ก็สู้ตั้งแต่จากรากสู่ยอด เขาผ่านการคุมทีมมาทุกรูปแบบตั้งแต่ทีมระดับล่างจนถึงทุกวันนี้

การวางตัวในสาธารณะของทั้งสองคนก็แตกต่าง คล็อปป์ เป็นพวกจอมบ้าดีเดือดกล้าได้กล้าเสีย ขณะที่ อันเชล็อตติ เป็นคนสุขุมเงียบสงบมีความเป็นเจ้าพ่อเหมือนในหนังมาเฟียอิตาลี ซึ่งคุณลักษณะของทั้งคู่ก็ถูกส่งผ่านไปยังรูปแบบของลูกทีมของเขา

ลิเวอร์พูล เชื่อว่าพวกเขาเอาชนะได้ทุกทีมหากเป็นวันของพวกเขา ขณะที่ มาดริด ก็เชื่อว่ามั่นเสมอว่าความยิ่งใหญ่ของพวกเขาจะไม่โดนสั่นคลอนง่าย ๆ

เพราะไม่ว่าจะศึกเล็กศึกใหญ่พวกเขาก็ล้วนแต่เคยผ่านมาได้แล้วทั้งนั้น ... ความต่างตั้งแต่จุดเริ่มต้นแต่มองไปที่ปลายทางเดียวกันคือการเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้เรื่องราวของ ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด น่าติดตามเสมอ

และเราจะได้ชมการปะทะกันของสมบัติราชาและขวัญใจสามัญชนอีกครั้ง ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้  ... ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นคู่เอกของรายการที่แฟนฟุตบอลตั้งตารอชมไม่เปลี่ยนแปลง

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

คิดและทำแบบ “อันเก” : สาเหตุที่อดีตกุนซือ ‘มารินอส’ ถูกยกให้เป็นตัวแทน คล็อปป์

เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้ เอเด็น อาซาร์ กลายร่างจากปีกเทพเจ้าสู่ต้าวอ้วง ?

ยุทธวิธีปลดแอก : เหตุใด วินิซิอุส จึงใส่สตั๊ดที่ไม่มีโลโก้ Nike ?

แหล่งอ้างอิง
https://www.lalibretadevangaal.com/.../03/madrid-franco.html
https://www.nationalworld.com/.../why-do-liverpool-boo...
https://www.liverpoolfc.com/.../articleshow/91837310.cms

แชร์บทความนี้
หัวหน้ากองบรรณาธิการ, คิดไซด์โค้ง-ThinkCurve
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ