DNA ไม่ช่วยอะไร : แมตต์ สมิธ กับการขาดสิ่งที่กุนซือจำเป็นต้องมีที่สุด

DNA ไม่ช่วยอะไร : แมตต์ สมิธ กับการขาดสิ่งที่กุนซือจำเป็นต้องมีที่สุด
ชยันธร ใจมูล

แมตต์ สมิธ ออกจากตำแหน่งกุนซือของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เรียบร้อยแล้ว และนี่คือเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นที่ทำให้สุดท้ายเเล้วกุนซือที่ถูกวางตัวไว้ยาว ๆ เพื่ออนาคต โดนปลดจากตำแหน่งในท้ายที่สุด

ไม่เชี่ยวชาญด้านแท็คติก

การใช้คำว่าอ่อนชั้นด้านแท็คติกอาจจะดูรุนแรงไปบ้างสำหรับ แมตต์ สมิธ แต่หากว่ากันตามตรงและยืนยันด้วยสถิติแล้วไม่ใช่สิ่งทีเกินจริงแน่นอน แม้ก่อนหน้านี้ ปวิณ ภิรมย์ภักดี จะประกาศยืนยันว่าในช่วงเลกที่ 2 สโมสรจะเน้นไปที่ฟุตบอลถ้วยเป็นหลักเพราะมีโอกาสเป็นแชมป์มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นการจะบอกว่าทิ้งบอลลีก และเล่นด้วยฟอร์มที่น่าผิดหวังในทุก ๆ เกม คงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะกับทีมใหญ่และลงทุนเยอะอย่าง บีจี ปทุม แน่นอน

สมิธ คุมทีมลงเล่นไทยลีกไปทั้งหมด 13 เกม ชนะแค่ 3 นัด (เสมอ 2 แพ้ 8) เหนือสิ่งอื่นใดคือวิธีการเล่นของ บีจี ปทุม ในยุคของเขาที่ดูตื้อตันหมดไอเดีย พวกเขาได้ประตู 11 ลูก มากกว่าลำปาง เอฟซี แค่ทีมเดียว และเสียไปถึง 18 ประตูมากที่สุดในบรรดาไทยลีก 16 ทีม  สิ่งที่เราเห็นได้จากการเล่นของ บีจี ในทุก ๆ เกมคือการไม่สามารถหาโอกาสการยิงประตู และการสร้างเกมรุกที่ดีพอ ยกตัวอย่างในเกมล่าสุด ซึ่งเป็นเกมสุดท้ายของ แมตต์ สมิธ กับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด นั้นหลังจากที่ฝั่ง บียู ได้ประตูจาก มานูเอล ทอม เบียห์ ในนาทีที่ 3 บีจี ที่ควรเป็นฝ่ายต้องบุกกดดันกองหลังคู่แข่ง กลับทำได้แค่เพียงการใช้บอลยาวเปิดเกมรุก โยนบอลเข้าไปวัดในเขตโทษ ด้วยสปีดบอลที่ช้ามาก ยิ่งถ้าวัดกับทาง บียู ที่เล่นบอลกับพื้นและเคลื่อนที่ตลอดยิ่งเห็นชัด

ไฮไลต์เกมล่าสุดของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

ในขณะที่โลกฟุตบอลยุคใหม่ไม่ว่าจะทีมเล็กทีมใหญ่ล้วนแต่ใช้การ เพรสซิ่ง และ เคาน์เตอร์เพรสซิ่ง (เสียบอลตรงไหนรีบรุมแย่งบอลคืนตรงนั้น) บีจี กลับเป็นทีมที่ใช้วิธีเสียบอลและถอยลงไปตั้งรับ จริงอยู่ที่เรื่องของแท็คติกนั้นไม่มีถูกผิด แต่สำหรับทีมอย่าง บีจี ที่มีนักเตะคุณภาพ และเป็นทีมใหญ่ที่เน้นผลการแข่งขัน ตั้งเป้าไว้ที่การเอาชนะไม่ว่าจะเป็นการเจอกับทีมไหนในลีก การถอยมาเล่นเกมรับเป็นการทำให้ทีมต้องกลายเป็นฝ่ายไล่บอลมากกว่าฝ่ายครองบอล และครั้งจะให้เป็นเล่นเกมบุกสร้างเกมรุก ก็มีนักเตะเป็นตัวเลือกในเกมรุกน้อยเกินไปจนเกมต่อกันไม่ติด

จริงอยู่ที่ช่วงแรก ๆ สมิธ อาจจะบอกได้ว่าเป็นช่วงที่นักเตะในทีมเจ็บเยอะ จนตัวไม่พร้อม แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักเตะเริ่มหายกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา เหล่าตัวหลักลงประจำการครบเกือบทุกตำแหน่ง แต่สุดท้ายวิธีการก็ยังไม่มา ยังทำให้แฟนบอลมองภาพไม่ออกว่า "ฟุตบอลของบีจี ในยุค แมตต์ สมิธ เป็นแบบไหนกันแน่ ?"

PHOTO : BG PATHUM

เราไม่รู้ว่าสมิธวางเป้าหมายการสร้างทีมของเขาไว้แบบไหน แต่ที่แน่ๆ  ถ้าวัดกับผลงานที่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นชัด ๆ แบบนี้ ก็คงต้องยอมรับว่า สมิธ ที่ไม่เคยทำงานกุนซือเลยแม้แต่หนเดียวก่อนจะมารับงานกับ บีจี ปทุม ยังคงมีเรื่องให้ปรับปรุง แก้ไขในเรื่องแท็คติกอีกไม่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมที่สุดแล้ว บีจี ปทุม จึงมีผลงานที่ย่ำแย่ในทุก ๆ ภาคส่วนนับตั้งแต่เริ่มเลก 2 เป็นต้นมา

การสูญเสียการควบคุม

การเป็นเฮ้ดโค้ชนั้นภารกิจสำคัญคือการทำให้นักเตะเชื่อมั่น เชื่อใจ และเชื่อมือ โค้ชที่เก่งระดับโลกมีความสำเร็จการันตีทุกคนไม่ได้เก่งกาจแค่ในด้านแท็คติกและกลยุทธ์เท่านั้น พวกเขามีสิ่งที่เรียกว่าการซื้อใจนักเตะ เพื่อทำให้ลูกทีมยอมทำตามสิ่งที่พวกเขาบอก ยกตัวอย่างเช่น ดานี่ อัลเวส อดีตแบ็คขวาของ บาร์เซโลน่า พูดถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เจ้านายของเขาว่า "ถ้าเป๊ป บอกให้ผมไปกระโดดตึก ผมก็จะทำ แม้ผมไม่รู้ว่าผมจะทำไปเพื่ออะไร แต่ผมรู้ว่าเขาต้องมีเหตุผลที่สั่งผมทำแบบนั้น"

PHOTO : GOAL

จากคำกล่าวของ อัลเวส นั้นอธิบายถึงการเป็นโค้ชที่ปกครองนักเตะได้เป็นอย่างดี นอกจากจะเรื่องของนิสัยใจคอแล้ว สิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับนักฟุตบอลอาชีพคือ คุณต้องทำให้พวกเขามั่นใจว่าพวกเขามีจะมีอาชีพที่ดีขึ้นได้ คุณไม่ต้องใจดี โอ๋กันตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งการเล่นไม้แข็งพร้อมลงโทษตลอด แต่สิ่งที่คุณจะทำให้นักเตะเชื่อมั่นในวิธีการของคุณได้ คือผลลัพท์ในสนาม ถ้านักเตะเห็นว่าสิ่งที่คุณบอก คุณสอน สามารถทำให้ทีมมีผลงานที่ดีขึ้นไม่ว่าจะในแง่ผลลัพธ์หรือวิธีการพวก หรือทำให้นักเตะแต่ละคนมีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นได้ พวกเขาก็จะมั่นใจว่าคุณคือคนที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และพวกเขาจะเชื่อใจคุณอย่างหมดจด ไม่ว่าสิ่งที่คุณบอกพวกเขาจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่าสั่งมาเพื่ออะไรก็ตาม ดังที่ อัลเวส พูดถึง เป๊ป ไว้ในข้างต้น

ตัดกลับมาที่ สมิธ นอกจากมีความเป็นศิษย์เก่า บีจี แล้ว เขาแทบจะไม่มีผลงานอะไรโดดเด่นเป็นรูปธรรมเลยทั้งในเรื่องของผลลัพธ์ และวิธีการ ดังนั้นไม่แปลกที่เราจะเห็นภาษากายของนักเตะบีจี ในแต่ละเกมบ่งบอกถึงความเซ็ง สับสน และ โกลาหล หลายครั้งนักเตะของพวกเขาส่ายหัว มองฟ้า แสดงออกทางสีหน้า รวมไปจนถึงการส่งสัญญาณไปยังซุ้มม้านั่งสำรองว่าควรจะต้องเล่นแบบไหน

PHOTO : GOAL

ยิ่งเมื่อผลการแข่งขันจบลงแบบเดิมซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ ความเชื่อใจในตัวของ แมตต์ สมิธ และวิธีการเล่นแบบที่เขาวางไว้จะลดน้อยลงในมุมมองของนักเตะจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

เวลาไม่คอยท่า

เป้าหมายของ บีจี ปทุม ในการมอบตำแหน่งกุนซือให้ แมต สมิธ คือการสร้างทีม ซึ่งอันที่จริงแล้วทีมอย่าง บีจี ไม่จำเป็นต้องสร้างอะไรมากมายแล้วด้วยซ้ำ พวกเขามีนักเตะที่ดีในทุกตำแหน่ง ดังนั้นการต่อยอดคงเป็นอะไรที่เหมาะสมกว่า เนื่องด้วยการตัวหลักของทีมเป็นนักเตะอายุเยอะ เช่น อันเดรส ตูเญซ (36 ปี) ธีรศิลป์ แดงดา (34 ปี) สารัช อยู่เย็น (30 ปี) เป็นต้น นักเตะเหล่านี้ล้วนอยู่ในช่วงปลายเเล้ว การเปลี่ยนแปลงแบบหักดิบ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในเร็ววัน

Photo : BG Pathum

เหนือสิ่งอื่นใดคือ สมิธ ได้ทำทีมมานานพอแล้ว และไม่มีทิศทางจะดีขึ้นเลย เหนือสิ่งอื่นใดคือช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการตัดสินใจปลดโค้ช เนื่องจากแต่ละทีมจะได้พักเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อหลีกทางให้กับโปรแกรมทีมชาติ และนักเตะของ บีจี ตัวหลัก ๆ ไมได้ติดทีมชาติชุดเจอกับ เซเรีย และ ยูเออี เลย ดังนั้นพวกเขาจะมีเวลาซ้อมและทบทวนสิ่งที่ผิดพลาด สำหรับทางแก้ในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของตารางคะแนนไทยลีกที่ บีจี มีแต้มนำโซนตกชั้นเพียง 7 แต้ม และอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ซึ่งเรื่องนี้พวกเขารู้ดีเพราะผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วในการตกชั้นเมื่อปี 2018

ทุกอย่างประจวบเหมาะและไร้ข้อโต้แย่งใด ๆ และทั้งหมดนี้ทำให้ แมตต์ สมิธ ต้องออกจากตำแหน่งกุนซือของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในท้ายที่สุด

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

DNA ดี ๆ มีอยู่จริง : 7 สโมสร ที่ใช้ “โค้ชคนใน” แล้วได้ผลลัพธ์คือความสำเร็จ

คิดและทำแบบ “อันเก” : สาเหตุที่อดีตกุนซือ ‘มารินอส’ ถูกยกให้เป็นตัวแทน คล็อปป์

รื้อระบบพรีเมียร์ลีก : การบริหาร “เรื่องเงิน” อย่างมืออาชีพที่ไทยลีกควรเอาอย่าง

แชร์บทความนี้
หัวหน้ากองบรรณาธิการ, คิดไซด์โค้ง-ThinkCurve
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ